พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต
พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต
พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต
พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต
พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต

พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต

TBS234 พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต

  • ราคา 2,999.00.-

จำนวนสินค้า

แชร์สินค้านี้
  • facebook
  • twitter
  • google
ทีบีเอส 234

      TBS 234    ร้านค้าของเราจัดจำหน่าย ให้เช่าบูชา พระพุทธรูป พระบูชา หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโต พระพุทธชินราช พระแก้วมรกต พระเกจิอาจารย์ รูปหล่อเหมือนพระเกจิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรํสี ) หลวงพ่อทวด พระเครื่อง วัตถุมงคล ของสะสม รูปหล่อพระเกจิ พระโพธิ์สัตว์เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้าตั่วเล่าเอี๊ยกง เทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ย ( เทพเจ้าโชคลาภ )  สัตว์เทพมงคลสวรรค์บันดาลโชค ปี่เซี๊ยะ ( ผี่ชิว ) เจี่ยบ๊วย ( เต่ามังกร ) เซียมซู มังกรทอง หงษ์ฟ้า และ วัตถุมงคล เมตตาประทานพร เสริมศิริมงคล ประสบความสำเร็จบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต พระพิฆเณศ และ เครื่องหอม กำยานหอม รับปรึกษา รับดูฮวงจุ้ย เสริมดวง  เพื่อความเจริญรุ่งเรือง มั่นคง มั่งคั่ง ร่ำรวย สนใจติดต่อสอบถาม tbs234_bkk@yahoo.com  

เข้าชมร้านค้า

รายละเอียด

TBS234


พระบูชาหลวงพ่อนาค

 

หน้าตัก 5 นิ้ว เนื้อทองเหลืองรมดำ

 

วัดโพธิ์ชัยศรี บ้านแวง ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

 

วัดโพธิ์ชัยศรี  ตั้งอยู่ที่บ้านแวง ตำบลบ้านผือ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ห่างจากอำเภอบ้านผือไปตามถนนสายอำเภอน้ำโสมประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งวัด โพธิ์ชียศรี ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวอุดรธานีนามว่า "หลวงพ่อนาค"      หลวงพ่อนาค เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกทำด้วยทองสำริดมีจารึกด้วยอักษรธรรมอีสานโบราณ ท่านผู้รู้ได้อ่านถ่ายถอดได้ความว่า
      "สร้างเมื่อ จ.ศ.170 แห่งพุทธกาล ปีจอ เดือน 3 ขึ้น 13 ค่ำ ยามกลองแลงหัวครูวงษา เป็น ผู้สร้าง"
      พระราชปรีชาญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดหนองคายได้อธิบายความว่า จ.ศ.170 น่าจะตรงกับพุทธศักราช 1351 และคำว่า ยามกลองแลง หมายถึงฤกษ์เททอง
       หลวงพ่อนาควัดโพธิ์ชัยศรี มีพุทธลักษณะสวยงาม พระพักตร์เปี่ยมด้วยความเมตตา มีคำเล่าลือสืบกันมาแต่โบราณว่า ภายในองค์พระประดิษฐานพระธาตุอรหันต์ตรงส่วนพระอุระ ชาวบ้านแวงและชาวอุดร ต่างเลื่อมใสศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนาคว่า ได้ปกป้องคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข

ภายในวัดมีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง  มีรูน้ำไหลยู่ตลอดเวลา  น้ำใสสะอาดสามารถดื่มกินได้ ความลึกประมาณ ๘๙ เมตร ถ้าถึงฤดูหนาว น้ำในบ่อจะอุ่นผิดปกติ นับตั้งแต่มีการตั้งหมู่บ้านเมื่อราว ๒๐๐ ปีก่อน  บรรพบุรุษต่างยืนยันว่า ไม่มีผู้ใดลงมือขุดบ่อน้ำนี้ สันนิษฐานว่า คงมาพร้อมกับวัดโพธิ์ชัยศรี และหลวงพ่อนาค  ในอดีตบ่อน้ำนี้เคยแห้งมาแล้ว ๔ ครั้ง  ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๗๒, ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๑, ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๓ และครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๒๐ เหตุที่น้ำในบ่อแห้ง  เชื่อกันว่า มีสตรีนำผ้าถุง (ผ้าซิ่น) ไปวางไว้ขอบบ่อน้ำ


                อาจารย์รักษ์  ทองสุวรรณ (บวชเป็นพระ พ.ศ. ๒๕๒๐) เคยเห็นเหตุการณ์เล่าว่า ก่อนที่น้ำในบ่อจะแห้งหมด  จะมีเสียงดังอยู่ใต้ก้นบ่อ  พร้อมกับมีน้ำกระเซ็นขึ้นมาปากบ่อ  จึงเดินเข้าไปส่องดูในบ่อ เห็นเป็นฟองเหมือนผงซักฟอกลอยอยู่บนน้ำ สักครู่หนึ่งก็จะหายไป

                รุ่งเช้า น้ำในบ่อก็หมด  น้ำในบ่อแห่งนี้ปกติจะไม่แห้ง  ถ้ามีผู้ทำผิด น้ำจะแห้ง เมื่อน้ำในบ่อแห้งจะมีพิธีไปขอน้ำในลำห้วยกลางทุ่งนา ซึ่งชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนมารวมตัวกัน  โดยผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจะกล่าวขอขมาลาโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย  ต่อจากนั้นทุกคนจะไปตักน้ำในลำห้วยมาคนละขัน เทลงไปในบ่อ วันรุ่งขึ้นจะมีน้ำมาอยู่ระดับเดิม

                ภายในบ่อมีศิลาดาดที่ก้นบ่อ  เป็นโพรงลึกเข้าไปประมาณ ๓ เมตร โดยรอบมีรูใหญ่ ๆ พอคนคลานเข้าไปได้ ๒ รู  รูหนึ่งตรงไปหาพระประธานที่ศาลาการเปรียญ อีกรูหนึ่งตรงไปทางกุฏิเจ้าอาวาส  ด้านทิศตะวันออกไปทางลำห้วยกลางทุ่งนา ประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ พอเห็นได้ว่า เวลาครุ (ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ ทาด้วยขี้ชันน้ำมัน) หรือ กระแป๋งตักน้ำตกลงไปในบ่อ ถ้าใช้ไม่หยั่งลงไปก้นบ่อค้นหาก็หาไม่พบ

                ต่อมามีคนหาปลาที่ลำห้วยเจอกระแป๋งนี้  จึงสันนิษฐานว่า รูก้นบ่อต้องยาวไปถึงลำห้วยแน่ กระแป๋งของคนนั้นจึงมาอยู่ที่ลำห้วยได้  ลำห้วยนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า “กุด” มีผีนาคเงือกเฝ้ารักษาเหล็กไหลอยู่ ชาวบ้านเรียกผีนาคเงือกว่า “ปู่หมอน” เคยทำให้เด็กที่เป็นลูกพ่อแม่เดียวกันครอบครัวเดียวกันจมน้ำตาย วันเดียวกัน ๓ คนมาแล้ว ศพไหลขึ้นไปทางเหนือน้ำ

                ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ พระอาจารย์สว่าง  อยู่กับวัดโพธิ์ชัยศรี ได้นิมิตว่า มีผู้มาบอกให้ไปเอาเหล็กไหลในล้ำห้วยนั้น  ฝันคืนหนึ่งก็ยังไม่ไปเอา ฝันคืนที่สองก็ไม่ไปเอา ฝันคืนที่สามอีก

                เมื่อพระอาจารย์สว่างฝันติดต่อกันหลายคืนเช่นนี้  คิดว่า เจ้าของเหล็กไหลคงจะให้จริง ๆ จึงได้กล่าวความฝันให้พ่อตาตุ๊ฟัง  แล้วจึงชวนพ่อตาตุ๊ไปด้วย เมื่อตกลงไปกันแล้ว ก็เตรียมเครื่องมือไปทำพิธี  พอทำพิธีขอเสร็จแล้ว พระอาจารย์สว่างจะเป็นผู้ลงไปเอา  พ่อตาตุ๊จึงเอาสายสิญจน์ใหญ่ผูกเอาไว้ หากพระอาจารย์สว่างดำลงไปขึ้นไม่ได้  อาจติดอยู่ในโขดหินในถ้ำนั้น จะได้ช่วยดึงออกมาได้ไม่ให้สายสิญจน์ขาด แล้วพระอาจารย์สว่างก็ดำลงไปในล้ำห้วยนั้น  แล้วก็มุดดำน้ำลงไปภายใต้แผ่นหินใหญ่  ซึ่งเป็นโพรงเข้าไป  เมื่อดำลงไปอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก็ได้เอาใส่มือให้เลย  พระอาจารย์สว่างก็ดำลงไปใหม่เป็นครั้งที่สอง เมื่อโผล่ขึ้นมาก็ได้เหล็กไหลขึ้นมา ๔ ก้อน ก้อนหนึ่งพระอาจารย์สว่างกลืนกิน  ส่วนเหล็กไหลอีก ๓ ก้อน เอาใส่ห่อผ้าเช็ดหน้า แล้วพากันเดินกลับวัด  ขณะเดินทางกลับมาวัดจวนจะถึงวัดอยู่แล้ว พระอาจารย์สว่างพูดขึ้นว่า “ถ้าเราเอาไปขายคงได้หลายเงิน”

                พอพูดจบไม่รู้อะไร มาแย่งเอาเหล็กไหลไปจากมือ  จนพระอาจารย์สว่างร้องไห้เสียงดัง  พอลุกขึ้นได้ก็จะวิ่งไปที่ลำห้วยโน้นอีก  พ่อตาตุ๊ได้คว้าข้อมือพระอาจารย์สว่างเอาไว้ แล้วก็นำตัวมาที่ศาลาวัดโพธิ์ชัยศรี

                ขณะนั้น พระอาจารย์ตา จำวัดอยู่ในโบสถ์  ได้ยินเสียงร้องไห้ จึงเปิดประตูออกมาดู  พอทราบเหตุถึงได้ทำน้ำมนต์รดให้  พระอาจารย์สว่างค่อยหายเป็นปกติ  แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า “ผีจะหลอกเอาไปกินตอด”

                ส่วนเหล็กไหลที่พระอาจารย์สว่างกินเข้าไปนั้น  ได้ทะลุออกกลางกระหม่อม (ศีรษะ) ในเวลาต่อมา

                สำหรับพระนาคปรก หน้าตักกว้าง ๑๒ นิ้ว สูง ๑๒ นิ้ว สันนิษฐานว่า สร้างด้วยหินศิลานั้น เพื่ออำพรางองค์จริงที่เป็นทองสำริด

                ก่อนที่จะสร้างพระนาคปรกขึ้นด้วยทองสำริด  ต้องมีการจำลองแบบขึ้นก่อน โดยมีการแกะพระนาคปรกด้วยหินมาก่อน  จากนั้นนำพระนาคปรกหินศิลาเป็นตัวอย่าง

ชาวบ้านแวงทุกคนนับถือพระนาคปรกมาก  เพราะเคยถูกขโมยไปแล้วถึง ๔ ครั้ง  แต่ในแต่ละครั้งก็ได้กลับคืนมาอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก  เนื่องจากพระพุทธรูปองค์นี้  มีพุทธลักษณะสวยงามน่าเลื่อมใส  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ  หงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา  มีพญานาคแผ่พังพานปกคลุมเบื้องบนพระเศียร  โดยเฉพาะพระพักตร์มีความละเมียดละไมค่อนข้างจะยิ้มนิด ๆ ตามแบบพุทธลักษณะของพระปางนาคปรก  ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านต่างพากันขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้กันว่า “หลวงพ่อนาค” ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยศรี

           นายทูล  คำน้อย  ชาวบ้านแวง ตำบลบ้านผือ  ชาวบ้านรู้จักกันในนามของคุณโยมพ่อตุ๊  ซึ่งเป็นผู้ทราบเรื่องราวความเป็นมาของหลวงพ่อนาคดีกว่าใคร  เพราะได้รับทราบจากคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่า ๆ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตว่า  เดิมที่วัดโพธิ์ชัยศรีแห่งนี้ เป็นป่าดงพงชัฏ  เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยนานาชนิด หนาทึบเต็มไปหมด  ไม่มีใครทราบว่าเคยเป็นวัดมาก่อน

                ครั้นราวปี พ.ศ. ๒๑๐๐  มีชาวบ้านจากเมืองพาน ที่อยู่ห่างจากบ้านแวงราว ๗ – ๘ กิโลเมตร ได้เดินทางมาล่าสัตว์ ตรงบริเวณเชิงเขาที่ตั้งพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ โดยมีนายสี กับ นายแสน เป็นหัวหน้า พอมาถึงสถานที่ตั้งวัดโพธิ์ชัยศรีแห่งนี้ สมัยนั้นยังเป็นป่าใหญ่มีต้นไม้หนาทึบ พวกพรานล่าสัตว์ได้พากันเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อดักยิงฝูงนก และสัตว์ป่าที่มีอยู่มากมาย เผอิญได้พบพระพุทธรูปใหญ่องค์หนึ่ง มีขนาดหน้าตักราว ๔ ศอก สูงราว ๖ ศอก สันนิษฐานกันว่าคงสร้างจากเกสรดอกไม้และว่านต่าง ๆ (ขณะนี้ประดิษฐานอยู่ที่ ศาลาการเปรียญวัดโพธิ์ชัยศรี) ทำให้พวกพรานล่าสัตว์ต่างสันนิษฐานว่า สถานที่แห่งนี้คงเคยเป็นวัดมาก่อน จึงเดินออกจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไปรอบ ๆ บริเวณ ก็ได้พบใบเสมาที่สกัดจากหินดาดทั้งแท่ง ที่ใกล้ ๆ ใบเสมายังมีพระพุทธรูปนาคปรกอีก ๒ องค์ มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑๒ นิ้ว สูง ๑๒ นิ้ว เท่ากันทั้งคู่

                นายสี กับ นายแสน ผู้เป็นหัวหน้านายพราน ได้ปรึกษากับคณะว่า สถานที่แห่งนี้มีบ่อน้ำดื่มน้ำใช้อุดมสมบูรณ์  อีกทั้งยังเป็นที่ราบสม่ำเสมอผิดกับหมู่บ้านที่อยู่เชิงเขา  สมควรที่จะอพยพมาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องอยู่ตามแถวนี้  ภายหลังจากตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็ได้พาครอบครัวและชักชวนพรรคพวกมาอยู่ด้วย  ชั่วระยะเวลาไม่นานก็กลายเป็นชุมชนย่อม ๆ ขนาด ๑๐๐ หลังคาเรือนเศษ

                ครั้นราว พ.ศ. ๒๑๒๙  หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่มีวัดที่ใช้ประกอบพิธีประจำหมู่บ้าน  ชาวบ้านทั้งหมดต่างปรึกษาหารือกันที่จะสร้างวัด  โดยได้พากันไปตัดไม้มาถากเป็นเสาเลื่อยเป็นฝา  ใช้หญ้าคามุงหลังคาพอกันแดดกันฝน ประกอบเป็นอุโบสถชั่วคราว

                แต่ตอนแรกวัดโพธิ์ชัยศรีมีแต่พระพุทธรูปขนาดใหญ่ (หลวงพ่อองค์ตื้อ) และหลวงพ่อนาค เท่านั้น โดยไม่มีพระภิกษุและสามเณรมาจำพรรษา จึงมีสภาพไม่ต่างกับวัดร้าง ถึงกระนั้นในวันสำคัญทางศาสนา ชาวบ้านก็ยังศรัทธามากราบไหว้พระที่วัดแห่งนี้อยู่เสมอ เช่น ในวันสงกรานต์ของทุกปี จะนำน้ำอบมาสรงน้ำพระพุทธรูปเป็นสิริมงคล โดยมีหลวงพ่อองค์ตื้อเป็นองค์ประธาน ร่วมด้วยหลวงพ่อนาค เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวบ้าน

                พอปี พ.ศ. ๒๑๓๔  ถึงมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาบ้าง  โดยชาวบ้านได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิขึ้นหลังหนึ่ง  เพื่อเป็นที่จำพรรษาของพระสงฆ์  แต่ในระยะนั้นชาวบ้านยังคงเข้าใจว่า  หลวงพ่อนาคเป็นเพียงพระพุทธรูปธรรมดา  ไม่ต่างจากพระปฏิมากร ที่สร้างขึ้นแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่กราบไหว้สักการบูชาเป็นพุทธานุสติเท่านั้น จึงไม่ได้เอาใจใส่ในการรักษาเท่าใดนัก

                หลวงพ่อนาคถูกขโมยครั้งแรก

                เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๕ องค์หลวงพ่อนาคได้หายไปจากวัดโพธิ์ชัยศรีเป็นครั้งแรก  คราวนั้นพระสงฆ์ และชาวบ้านมิได้ติดใจเอาความ  คงคิดว่าเป็นพระพุทธรูปธรรมดา หายแล้วหายเลย  เพราะไม่รู้จะติดตามเอาคืนได้ที่ไหน  จึงได้ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปกับกาลเวลา

                ๔ ปีต่อมา ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๙   นายตุ้ย  ผู้ปกครองอำเภอบ้านผือ (นายอำเภอ) ในสมัยนั้น ได้ถึงแก่กรรมลง  นายอวน ศักดิ์ดี  ผู้ใหญ่บ้านแวง  ได้ไปช่วยงานศพของนายอำเภอ  ระหว่างที่กำลังสาละวนอยู่กับงาน  ต้องเดินขึ้นเดินลงที่บ้านนายอำเภอหลายเที่ยว  สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็น พระนาคปรกสวยงามองค์หนึ่ง ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา จึงพยายามเดินเข้าไปชมใกล้ ๆ เพ่งพินิจสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน  จนแน่ใจว่าพระนาคปรกองค์นี้เป็นหลวงพ่อนาคของวัดโพธิ์ชัยศรี หลังจากงานศพนายอำเภอตุ้ยผ่านพ้นไป  นายอวนก็เรียกลูกบ้านมาประชุม  โดยได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ตนได้พบเห็นหลวงพ่อนาคให้ชาวบ้านฟัง  ในที่สุดทุกคนต่างพร้อมใจกันไปขอหลวงพ่อนาคกลับคืน  เมื่อครอบครัวนายอำเภอตุ้ยทราบเรื่องราวต่าง ๆ ว่าหลวงพ่อนาคองค์นี้ ได้มีผู้ขโมยขายให้นายอำเภอ  จึงยินยอมคืนหลวงพ่อนาคให้ชาวบ้านแวงโดยดี  ผู้ใหญ่อวน และลูกบ้าน พากันดีใจ และอาราธนาหลวงพ่อนาคกลับไปประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัยศรีดังเดิม

หลวงพ่อนาคถูกขโมย ครั้งที่ ๒

ในราว พ.ศ. ๒๔๗๙  หลวงพ่อนาคได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง  คราวนี้ชาวบ้านพากันออกติดตามข่าวว่าใครเป็นผู้ขโมยเอาไป  จนสืบทราบว่า มีคนร้าย ๒ คน ได้ลักเอาหลวงพ่อนาคไปทางบ้านเหล่าคาม อ.บ้านผือ แล้วจ้างเกวียนของ “นายเผือก” ชาวบ้านเหล่าคามเป็นเงิน ๒ บาท ช่วยบรรทุกหลวงพ่อนาคไปที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๕๓ กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางนานถึง ๓ วัน

พอถึงตัวจังหวัดอุดรธานีแล้ว คนร้ายทั้งคู่ได้ยกหลวงพ่อนาคลงจากเกวียนไว้ที่พื้นดินก่อน เพื่อจะเอาขึ้นรถยนต์นำไปขายที่กรุงเทพ ฯ ความจริงหลวงพ่อนาคมีน้ำหนักเพียง ๒๓ กิโลกรัมเท่านั้น  แต่คราวนี้หลวงพ่อนาคได้สำแดงปาฏิหาริย์ บันดาลให้องค์ท่านมีน้ำหนักคล้ายกับ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม  จนคนร้ายยกไม่ขึ้น แม้จะพยายามช่วยกันยกสักเท่าไหร่ องค์หลวงพ่อนาคก็ไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อน  พวกคนร้ายได้เปลี่ยนวิธียก  ด้วยการหาเชือกมาผูกองค์หลวงพ่อนาค แล้วเอาไม้สอดหามกัน แม้จะใช้คนสักเท่าไร ก็หามไม่ขึ้น ในที่สุดต่างก็หมดปัญญา

ขณะที่พวกคนร้ายกำลังนั่งพักเหนื่อย  เพื่อคิดหาวิธีโยกย้ายหลวงพ่อนาค ไปขายที่กรุงเทพ ฯ  ให้ได้บังเอิญมี เศรษฐีผัวเมียคู่หนึ่ง ปลูกบ้านอยู่แถว ๆ นั้น เดินมาพบเห็นเข้า  ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นยิ่งนัก  จึงได้สอบถามเรื่องราวความเป็นมา พวกคนร้ายบอกว่า กำลังจะนำไปขายที่กรุงเทพ ฯ เท่านั้น แต่มิได้บอกความจริงว่า ขโมยมาจากวัดโพธิ์ชัยศรี

ปกติสองผัวเมียเป็น คนใจบุญอยู่แล้ว  ยิ่งเห็นองค์หลวงพ่อนาค ก็เกิดความเลื่อมใสยิ่งขึ้น  พอทราบความประสงค์ว่าเขาจะเอาไปขายเท่านั้น  จึงขอบูชาองค์หลวงพ่อนาค ไว้สักการะที่บ้านตน เป็นจำนวนเงิน ๑ ตำลึง (๔บาท) คนร้ายก็ตกลงขายให้ ดีกว่าเอาไปไม่ได้เลย พอคนร้ายรับเงินจากสองผัวเมียแล้ว ก็พากันหลบหนีไป สองตายายก็ได้อาราธนาหลวงพ่อนาค ไปประดิษฐานไว้ ณ ที่บูชาในบ้านของตน

นับ ตั้งแต่หลวงพ่อนาคไปอยู่ในบ้านสองตายายได้ราว ๑ เดือน  เศรษฐีสองผัวเมีย และครอบครัว ต่างเป็นโรคนอนไม่หลับ  พอหลายวันหลายคืนเข้า สองผัวเมียถึงได้ปรึกษาหารือกันว่า คงจะเป็นเพราะเราปฏิบัติต่อองค์หลวงพ่อนาคไม่ถูกวิธีหรืออย่างไร  จึงนำความเรื่องนี้ไปปรึกษากับเจ้าอาวาสวัดโยธานิมิต ซึ่งปกติสองผัวเมียก็ไปทำบุญอยู่เป็นประจำ

เมื่อหลวงพ่อวัดโยธานิมิต ได้ทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว  ท่านจึงได้พูดกับสองผัวเมียว่า “พระนาคปรกที่คุณโยมนำมาบูชาที่บ้านนั้น ท่านคงไม่อยากอยู่ที่บ้านของคุณโยม คงอยากอยู่ที่วัดมากกว่า เลยทำให้คุณโยมและครอบครัวนอนไม่หลับ ถ้าไม่คิดอะไรมาก คุณโยมเอามาไว้ที่วัดกับอาตมาก็ได้ โดยคุณโยมบูชามาเท่าไร อาตมาจะจ่ายชดเชยให้ ดีกว่าเอาไว้บ้านแล้วไม่สบาย”

ฝ่ายเศรษฐีสอง ผัวเมีย คิดทบทวนอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจ เอาหลวงพ่อนาคไปไว้ที่วัดโยธานิมิต  นับตั้งแต่นั้นมา ทุกคนในครอบครัวต่างนอนหลับอย่างสุขสบาย

ต่อมาราว พ.ศ. ๒๔๙๔   นายดี ทองสุวรรณ  ชาวบ้านแวงได้ถูกคัดเลือกเป็นทหารเกณพ์ ไปประจำอยู่ที่ค่ายหนองประจักษ์  อุดรธานี  พอถึงวันสงกรานต์ ช่วงที่นายดี  ทองสุวรรณ รับราชการเป็นทหารเกณฑ์อยู่นั้น  เพื่อน ๆ ได้ชักชวนไปเที่ยวงานสงกรานต์ที่วัดโยธานิมิต  เพื่อสรงน้ำพระพุทธรูป และสรงน้ำพระภิกษุสงฆ์ ตามประเพณีภาคอีสาน  ครั้นไปถึงวัดโยธานิมิต แล้วก็เดินเข้าไปสรงน้ำพระพุทธรูป และพระภิกษุสงฆ์ จึงได้พบเห็นหลวงพ่อนาค ก็คลับคล้ายคลับคลา ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน  เมื่อเดินเข้าไปพิจารณาตำหนิต่าง ๆ ใกล้ ๆ ก็แน่แก่ใจว่าเป็น “หลวงพ่อนาค” ที่อยู่วัดโพธิ์ชัยศรีจริง ๆ

พอหลังสงกรานต์ก็ได้ลากลับบ้าน เพื่อจะนำข่าวที่ตนได้พบหลวงพ่อนาค ไปเล่าให้ผู้ใหญ่บ้าน และเพื่อนบ้านฟัง เมื่อชาวบ้านแวงทราบข่าว ต่างพากันดีใจ และตกลงกันว่า จะให้ผู้ใหญ่บ้าน กับลูกบ้านอีก ๕ คน เป็นตัวแทนเดินทางไปจังหวัดอุดรธานี โดยมุ่งตรงไปที่วัดโยธานิมิตทันที

ครั้นไปถึงวัดโยธานิมิต  ชาวบ้านแวงทั้งหมด พากันเข้าไปกราบนมัสการพระเดชพระคุณ เจ้าอาวาสวัดโยธานิมิต ซึ่งท่านเจ้าอาวาส เมื่อเห็นคนต่างถิ่นมาเยือน จึงได้ไต่ถามความประสงค์การมาครั้งนี้

“โยมบ้านอยู่ที่ไหน มาที่วัดมีความประสงค์สิ่งใดหรือ”

ผู้ใหญ่บ้านแวงกราบเรียนว่า “ข้ากระผมกับพวกมาตามหลวงพ่อนาค ที่หายไปหลายปีแล้ว”

พระเดชพระคุณท่านเจ้าอาวาส ได้ถามต่อไป “พระนาคปรกของพวกโยม มีพุทธลักษณะอย่างไร แล้วทำไม ถึงคิดว่า พระนาคปรกมาอยู่ที่นี่”

“องค์พระประทับนั่งอยู่บนลำตัวนาคขดเป็น ๓ ชั้น ตรงหัวนาคด้านบนหักนิดหนึ่ง มีคนมาพบว่า อยู่ที่นี่” ผู้ใหญ่บ้านตอบ

เมื่อ เจ้าอาวาสได้ฟังแล้ว ก็แน่ใจว่า พระนาคปรกองค์นี้เป็นของชาวบ้านแวงจริง เพราะทุกสิ่งที่เล่ามา ตรงกับความจริงทั้งสิ้น จึงได้พูดต่อไปว่า

“พระนาคปรกองค์นี้ อาตมาได้ซื้อไว้เป็นเงิน ๑ ตำลึง (๔ บาท) ถ้าโยมอยากได้ จงเอาเงิน ๑ ตำลึง มาไถ่คืนเสียก่อน”

ผู้ใหญ่ บ้านได้ฟังเช่นนั้น  จึงกราบนมัสการว่า “พระนาคปรกองค์นี้ เป็นสมบัติของวัดโพธิ์ชัยศรี กระผมและพวกได้ติดตาม จนหมดเงินหมดทองไปมากมาย เหลือเงินติดตัวอยู่ไม่เท่าไหร่ จะมีก็แค่เงินค่าอาหาร และค่าเดินทางเท่านั้น เมื่อหลวงพ่อไม่ยอมคืนพระนาคปรกให้ พวกกระผมก็จำเป็นต้องไปพึ่งพาเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยแจ้งข้อหาว่า หลวงพ่อรับซื้อของโจรไว้ ถ้าถึงตอนนั้น คิดว่า หลวงพ่อคงต้องลำบากแน่ ๆ”

ฝ่าย เจ้าอาวาส โดนไม้ตายของผู้ใหญ่บ้านเช่นนี้  จำเป็นต้องคืนพระนาคปรกให้แต่โดยดี มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งไม่เหมาะสมกับสมณเพศ

เมื่อชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้าน ได้รับพระนาคปรกคืนก็ดีใจ พากันกราบขออภัยที่ล่วงเกินพระเดชพระคุณท่าน และขอบคุณที่ยอมคืนพระนาคปรกให้  ต่อจากนั้น ได้อาราธนาพระนาคปรกกลับคืนสู่วัดโพธิ์ชัยศรีดังเดิม

หลังจากหลวงพ่อ นาคปรก กลับคืนมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยศรีไม่กี่วัน  ได้สำแดงปาฏิหาริย์บันดาลให้ นายเผือก เจ้าของเกวียนที่รับจ้างพวกคนร้าย บรรทุกหลวงพ่อนาคไปจังหวัดอุดรธานี เกิดตาบอดอย่างไม่มีสาเหตุ   ครอบครัวก็ได้รับความเดือดร้อนในเวลาต่อมา

เมื่อนายเผือกตาบอดอย่าง กะทันหัน โดยหาสมมติโรคไม่ได้ จึงได้ระลึกเหตุการณ์ที่ตนไปรับจ้างบรรทุกหลวงพ่อนาคปรก  แม้ตนจะไม่ทราบมาก่อน แต่ก็มีส่วนร่วมด้วย ที่ตนต้องตาบอดลงเช่นนี้ คงเป็นเพราะกรรมที่ไปพัวพันด้วยแน่  ท่านจึงลงโทษสถานเบาไม่ถึงแก่ชีวิต  พอคิดได้เช่นนั้น นายเผือกได้บอกพวกญาติพี่น้องให้พาตนไปที่วัดโพธิ์ชัยศรี เพื่อไปกราบคารวะขอขมาลาโทษกับหลวงพ่อนาค ที่ตนได้ล่วงเกิน

ครั้นไป ถึงวัดโพธิ์ชัยศรี ที่ประดิษฐานหลวงพ่อนาคปรก  ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตนราว ๖ – ๗ กิโลเมตร ก็นำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปสารภาพผิดทุกอย่าง แล้วกราบขอขมาลาโทษที่ตนได้กระทำกรรมไว้กับหลวงพ่อ (นาค) ก่อนที่จะลากลับไปบ้าน ได้เอาแผ่นทองคำเปลวที่ปิดพระเนตรหลวงพ่อนาค มาปิดที่นัยน์ตาของตน รุ่งขึ้นอีกวัน นัยน์ตาของนายเผือก ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม สามารถมองเห็นทุกสิ่งได้ตามปกติ นับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่ง

หลวงพ่อนาคถูกขโมย ครั้งที่ ๓

ใน ราว พ.ศ. ๒๕๑๒  หลวงพ่อนาคได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งชาวบ้านแวงได้ช่วยกันสืบจนได้ความว่า มีคนร้ายกลุ่มหนึ่งมาขโมยเอาองค์หลวงพ่อนาคไป  โดยนำรถยนต์มาจอดไว้นอกวัด แล้วลอบเข้าไปอุ้มองค์หลวงพ่อนาคขึ้นใส่รถยนต์  จากนั้นขับมุ่งไปทางจังหวัดอุดรธานี เพื่อนำไปขายให้พวกฝรั่งที่สนามบินอุดรธานี ในราคา ๕๐๐,๐๐๐ บาท จุดหมายปลายทางคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา

พอถึงวันนัดหมาย  คนร้ายได้นำหลวงพ่อนาค บรรจุลงกล่องกระดาษแข็ง ปิดผนึกอย่างดี พอได้เวลาก็ส่งกล่องบรรจุหลวงพ่อนาคขึ้นเครื่องบิน เพื่อจะนำส่งไปประเทศสหรัฐอเมริกา  ทันทีที่กล่องบรรจุหลวงพ่อนาคขึ้นเครื่อง นักบินฝรั่งก็ติดเครื่องเตรียมจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า  เสียงเครื่องบินแทนที่จะกระหึ่ม แสดงถึงความพร้อมที่จะทะยานสู่ท้องฟ้า  แต่ทว่าสิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นในบัดดล ล้อเครื่องบินแทนที่จะแล่นไปตามลานบิน  กลับสงบนิ่งอยู่กับที่  แม้จะพยายามบังคับเครื่องสักเท่าไหร่  ล้อก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน  พวกช่างเครื่องมาสำรวจตรวจเช็คอย่างละเอียดแล้ว  สั่งให้ลองบินดูอีกครั้ง  ปรากฏว่าทุกอย่างคงมีสภาพเดิม  จนฝรั่งหมดปัญญา ยอมยกกล่องบรรจุหลวงพ่อนาคคืนกลุ่มมิจฉาชีพ  พอยกกล่องหลวงพ่อนาคลงจากเครื่องบินเท่านั้น  เครื่องบินก็บินได้ตามปกติ โดยไม่มีอะไรขัดข้องเลย สร้างความประหลาดใจแก่พวกฝรั่งและคนร้ายอย่างยิ่ง

เมื่อ ฝรั่งเอาไปไม่ได้ คนร้ายก็นำกลับไปที่บ้านหลังหนึ่ง เตรียมที่จะตัดเศียรไปเท่านั้น  พอเครื่องตัดเหล็กจ่อถูกองค์หลวงพ่อนาคครั้งใด ไฟฟ้าเป็นต้องดับหมดบ้านทุกที  แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ  เมื่อคนร้ายโดนอิทธิฤทธิ์หลวงพ่อนาคเล่นงาน  ไม่รู้จะกระทำวิธีอื่นใดอีก เอาไปก็ไม่ได้ ตัดเศียรก็ไม่สำเร็จ วิธีที่ดีกว่านี้ ควรนำฝังดินไว้ก่อน ดีกว่ามีชาวบ้านมาพบเห็นเข้า จะพากันเดือดร้อน พอคิดได้ดังนั้นก็ช่วยกันยก ปรากฏว่ายกไม่ขึ้นอีก  แม้จะพยายามสักกี่หนก็ไม่สำเร็จอีก  หลวงพ่อนาคได้เล่นงานคนร้ายจนหมดปัญญา  ทุกคนได้ช่วยกันคิดหาหนทางจัดการกับหลวงพ่อนาคอย่างไรดี  จนกระทั่งคนร้ายออกความเห็นว่า “ควรนำหลวงพ่อนาคไปฝากที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี” คนร้ายที่เหลือต่างเห็นด้วย จึงนำเอาองค์หลวงพ่อนาคบรรจุใส่กล่องจนมิดชิด แล้วนำไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ โดยบอกว่า ขอฝากกล่องนี้สักประเดี๋ยว ไปธุระที่ตลาดแล้วจะกลับมาเอา

เมื่อคน ร้ายฝากกล่องหลวงพ่อนาคไว้แล้ว ก็พากันหลบหนีไปหมด ปล่อยให้เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ เฝ้าคอยการกลับมาอยู่จนมืด ก็ไม่เห็นเจ้าของกลับมาเอาคืน  จนเวลาผ่านไป ๓ วัน ก็ยังไม่มีใครมารับเอาคืนไป  เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ เลยตัดสินใจเปิดกล่องออกมาดู  ปรากฏว่าข้างในมีพระพุทธรูปนาคปรกบรรจุอยู่  แต่ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ หรือเป็นพระของวัดใด จึงได้ประกาศออกทางวิทยุ พร้อมกับบอกพุทธลักษณะให้ทราบ ถ้าใครเป็นเจ้าของ หรืออยู่ที่วัดใด ให้นำหลักฐานมายืนยัน ก่อนจะเอากลับคืนไป

ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ ตำรวจภูธรอำเภอบ้านผือ ได้ฟังข่าวประกาศเรื่องหลวงพ่อนาคปรก อยู่ที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี ฟังลักษณะตามประกาศแล้ว ก็ว่าเป็นหลวงพ่อนาค วัดโพธิ์ชัยศรีแน่ ๆ เพราะตอนที่หายไปนั้น ชาวบ้านได้มาแจ้งความไว้แล้ว  สารวัตรสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านผือ ได้สั่งให้สิบเวรนายหนึ่ง ไปแจ้งให้นายบัว แวงคำ ผู้ใหญ่บ้านแวงทราบ

นายบัว แวงคำ ก็พาชาวบ้านไปรับหลวงพ่อนาคที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี  พร้อมกับสอบถามว่าใครเอากล่องนี้มาฝาก  เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ ตอบว่า มีชายฉกรรจ์ ๓ คน หามกล่องนี้มาฝากไว้  เพียงบอกแต่ว่าไปตลาดเดี๋ยวเดียวจะกลับมารับ  ต่อจากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย  จนกระทั่งเปิดกล่องถึงทราบว่า เป็นพระพุทธรูป จึงได้ประกาศหาเจ้าของให้มารับพระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้คืนไป

เมื่อ เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี ได้สอบถามพุทธลักษณะ และตำหนิต่าง ๆ ของหลวงพ่อนาคปรก ปรากฏว่า ชาวบ้านแวงตอบถูกหมดทุกอย่าง จึงได้มอบหลวงพ่อนาคให้กลับคืนไป ชาวคณะบ้านแวง ได้กล่าวขอบพระคุณทางเจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ ๐๙ อุดรธานี แล้วก็อาราธนาหลวงพ่อนาคกลับคืนไปยังหมู่บ้านตน

เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นายพันทหารท่านหนึ่ง ประจำอยู่ในค่ายทหารอุดรธานี  ได้ทำปืนของทางราชการหายไปประมาณ ๕๐ กระบอก  โดยไม่ทราบว่าผู้ใดได้มาขโมยไป  นายพันทหารผู้บังคับบัญชา พยายามสอบสวนทุกคนก็ไม่ได้ความคืบหน้า ก็เลยหันมาพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดู ในเวลานั้น เกิดคิดถึงหลวงพ่อนาค ที่วัดโพธิ์ชัยศรี  ที่ตนเคยทราบกิตติศัพท์ถึงความศักดิ์สิทธิ์มาก่อนแล้ว  จึงได้เดินทางไปที่วัดโพธิ์ชัยศรี  เมื่อไปถึงก็ติดต่อสอบถามคุณโยมพ่อตุ๊ (ผู้ดูแลรักษาหลวงพ่อนาค) ถึงวิธีเสี่ยงทายของหาย ว่าปืนที่หายไปจะได้คืนหรือเปล่า ? ในพิธีเสี่ยงทาย หลวงพ่อนาค บอกว่า ได้คืน ผู้พันทหารถามคุณโยมพ่อตุ๊ว่า “ทำอย่างไรถึงจะได้คืน”

โยมพ่อตุ๊ก็บอกว่า “ผู้พันต้องรับสัจจะปฏิญาณกับหลวงพ่อนาคก่อนว่า จะไม่ลงโทษเขา ผมก็จะบอกให้ ถ้าต้องการไปลงโทษ ผมก็จะไม่บอก”

ผู้ พันก็รับปากว่า “ขอให้ได้ปืนคืนเท่านั้นก็พอ ผมจะไม่ลงโทษเขาหรอก” กล่าวจบ คุณโยมพ่อตุ๊ก็เสี่ยงทายกับหลวงพ่อนาค ดูปืนที่หายไปนั้น กองร้อยใดเอาไป โดยเริ่มเสี่ยงทายตั้งแต่กองร้อยที่ ๑ ไปตามลำดับ ปรากฏว่า กองร้อยที่ ๓ เอาไป แล้วก็เริ่มเสี่ยงทายต่อไป ถามถึงชื่อผู้ที่เอาไป โดยนำเอาชื่อผู้ใต้บังคับบัญชาในกองร้อยที่ ๓ ทั้งหมด มาเสี่ยงทายเรียงตามลำดับ จนถึงตัวผู้เอาปืนไป เมื่อรู้ตัวผู้ขโมยพอเป็นที่สังเขป ก็ทำน้ำมนต์ไปให้ทหารในกองร้อยดื่มเรียงตัว ต่อมาทหารผู้ที่เอาปืนไปซ่อนไว้ ก็มาสารภาพว่า “ปืนนั้นผมเอาไปเก็บไว้เอง”

พอผู้พันทหารทราบตัวหัว ขโมยก็โกรธ ลืมคำปฏิญาณที่รบไว้กับหลวงพ่อนาค สั่งนำตัวไปจำขังเป็นการลงโทษ ต่อมาผู้พันได้ไปราชการทหารที่จังหวัดเลย  บังเอิญถูกงูกัดขา รักษาเท่าไรก็ไม่หาย นับวันแผลมีแต่จะเปื่อย ทำให้นึกถึงคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับหลวงพ่อนาค  จึงได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา แล้วขอน้ำมนต์หลวงพ่อนาคไปประพรม หลังจากนั้นไม่นาน แผลที่ขาก็หายเป็นปกติ

หลวงพ่อนาคถูกขโมย ครั้งที่ ๔

เมื่อ วันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐  เวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น. ได้มีคนร้ายประมาณ ๘ คน ใช้รถยนต์เป็นพาหนะ เข้าไปในบริเวณบ้านแวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โดยจอดรถยนต์ไว้ที่บริเวณบ้านแวง แล้วตรงไปยังวัดโพธิ์ศรี  อันเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อนาค และคนร้ายชุดดังกล่าว ได้ตัดกุญแจที่ใส่คล้องประตูโบสถ์ ๕ ดอก แล้วเข้าไปงัดประตูเหล็กชั้นใน อันเป็นชั้นที่ ๒ จนพัง แล้วขโมยเอาหลวงพ่อนาคไปจากฐานที่ตั้ง

รุ่ง เช้าวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐  พระเณรในวัดโพธิ์ชัยศรี ตื่นขึ้นมาเข้าโบสถ์ เพื่อจะทำวัตรตามปกติ  ก็พบว่า หลวงพ่อนาคได้ถูกคนร้ายลักไปแล้ว  จึงได้ให้นายบุญมา  พรหมเมศ  อายุ ๔๓ ปี ราษฎรบ้านแวง นำความเข้าแจ้งต่อ พ.ต.ท.มนัส  เที่ยงธรรม สวญ.สภ.อ.บ้านผือ ว่า เมื่อคืนนี้ เวลาประมาณ ๐๓.๐๐ น. มีคนร้าย ๔ คน ใช้รถปิ๊กอัพ นิสสัน สีแดง ไม่มีป้ายทะเบียน ลอบเข้าไปในโบสถ์วัดโพธิ์ชัยศรี หมู่ ๑๐ บ้านแวง อ.บ้านผือ ขโมยเอาหลวงพ่อนาค พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำเภอบ้านผือไป  ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านมั่นใจว่า คนร้ายยังไม่ได้นำ “หลวงพ่อนาค” ออกนอกเขตอำเภอบ้านผือ จึงนำความมาแจ้งให้ตำรวจรีบติดตามเอาคืนมาให้ได้

หลัง จากรับแจ้งว่า “หลวงพ่อนาค” ถูกขโมยไปได้ไม่นาน พ.ต.ท.มนัส สวญ.สภ.อ.บ้านผือ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านกาลืม ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ อีกว่า ในคืนเดียวกัน พระอธิการคำห่วง เจ้าคณะตำบล ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทบัวบก ต.เมืองพาน ซึ่งอยู่ห่างจากวัดโพธิ์ชัยศรี ได้รับแจ้งจากพระสงฆ์ และชาวบ้านกาลืมว่า มีคนร้ายแต่งกายชุดเขียวคล้ายทหาร เข้าไปงัดศาลาการเปรียญ อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ของวัดบ้านกาลืม แล้วขโมยพระพุทธรูปทั้งหมด ประมาณ ๒๕ องค์ด้วยกัน

หลังจากที่หลวงพ่อ นาคได้ถูกขโมยไปแล้ว  ทั้งทางราชการ และประชาชนทั่วไป ที่เลื่อมใสศรัทธา ต่างก็มิได้นิ่งนอนใจ ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้ข่าว และแหล่งที่ซุกซ่อนของหลวงพ่อนาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางราชการอำเภอบ้านผือ  ซึ่งมีนายบรรดาศักดิ์  บุญบันดล นายอำเภอบ้านผือ พ.ต.ท.มนัส  เที่ยงธรรม สวญ.สภ.อ.บ้านผือ พร้อมด้วยทีมงาน ประกอบด้วย ร.ต.ท.วิเชียร ประภาการ ร.ต.ท.วิสัย  พิทักษ์สฤษดิ์ ร.ต.อ.วินันท์ เสียงครวญ และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนาย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการติดตามข่าวคราว และหาแหล่งที่ซุกซ่อนองค์หลวงพ่อนาค

นอกจากนั้น ทางจังหวัดหนองคาย ได้มีท่านพระครูสังฆวิฑิต  วัดทุ่งสว่าง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญยิ่ง  ได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังความคิด ตลอดจนกำลังทรัพย์ในการติดตามข่าวคราว ความเคลื่อนไหวของคนร้าย  โดยขอความร่วมมือจาก ร.ต.อ.วินันท์ เสียงครวญ รอง สวป.สภ.อ.เมืองหนองคาย ได้สืบหาตัวคนร้าย และสืบหาแหล่งที่ซุกซ่อนองค์หลวงพ่อนาค อันเป็นการให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของอำเภอบ้านผืออีกทางหนึ่ง แต่การดำเนินงาน ก็เป็นไปอย่างไม่เปิดเผย เพราะเกรงคนร้ายจะไหวตัว ในที่สุด วันแห่งความปลาบปลื้มปีติยินดีของทางราชการ และประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อนาคก็มาถึง

คือ ในวันที ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๐  เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ร.ต.อ.วินันท์ เสียงครวญ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมืองหนองคาย จำนวนหนึ่ง ได้ทำการจับกุมคนร้ายกลุ่มดังกล่าวได้ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองหนองคาย ซึ่งคนร้ายได้มาติดต่อขายพระพุทธรูปหลวงพ่อนาค และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ของวัดบ้านกาลืม จึงนำตัวคนร้ายทั้งหมดไปทำการสอบสวนที่ สภ.อ.เมืองหนองคาย แล้วรายงาน พ.ต.อ. ดร.ช่วงชัย สัจจะพงษ์ ผกก.ภ.จ.หนองคายทราบ แล้วรายงานให้ พ.ต.อ.บำรุง สุขพานิช ผกก.ภ.จ.อุดรธานี ทราบตามลำดับ เมื่อคนร้ายได้ให้การรับสารภาพแล้ว จึงนำตัวคนร้ายไปยังบริเวณที่ฝังองค์หลวงพ่อนาค และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ของวัดบ้านกาลืม เมื่อขุดเอาพระพุทธรูปทั้งหมดขึ้นจากดินแล้ว ก็ส่งตัวคนร้ายมอบให้เจ้าหน้าที่เมืองอุดรธานี เพื่อดำเนินคดีต่อไป

เมื่อ ราษฎรบ้านแวง ได้อาราธนาหลวงพ่อนาคกลับมาที่วัดโพธิ์ชัยศรี นายจรวย ยิ่งสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้ทราบเรื่องการติดตามหลวงพ่อนาค และพระพุทธรูปของวัดบ้านกาลืม และสามารถจับกุมคนร้ายได้ทั้งแก๊ง จึงได้ไปตรวจหลวงพ่อนาค พร้อมกับพระพุทธรูปวัดบ้านกาลืม พร้อมทั้งกล่าวชมเชยในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ติดตามพระพุทธรูปคืนมาได้ โดยใช้เวลาเพียง ๑๕ วัน ด้วยเหตุนี้ ทางอำเภอบ้านผือ ทั้งทางราชการและประชาชน ได้จัดงานฉลองสมโภชอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร ชาวบ้านร้านตลาดทั้งหลาย ได้อาราธนาหลวงพ่อนาคแห่ไปรอบอำเภอบ้านผือ เพื่อเป็นสิริมงคลต่อไป

หลัง จากแห่รอบเมืองแล้ว ชาวบ้านแวงก็ปรึกษากันว่า คงจะทำพิธีบายศรี (ทำขวัญ) ถวายแด่องค์หลวงพ่อนาค เพราะเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง ทันใดนั้นเอง หลวงพ่อนาคได้นิมิตเข้าสิงคุณโยมพ่อตุ๊ (นายทูล คำน้อย) ซึ่งไม่เคยเป็นคนทรงมาก่อน แต่เป็นผู้ที่ปรนนิบัติดูแลองค์หลวงพ่อนาคในวัด โดยนายทูลทำน้ำมนต์ และทำด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือสวมคอ เพื่อป้องกันศัตรู และเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มากราบไหว้ในเวลานั้น

หลวงพ่อนาค ได้ถูกขโมยไปถึง ๔ ครั้งแล้ว แต่ด้วยพุทธานุภาพแห่งองค์หลวงพ่อนาค ก็สำแดงปาฏิหาริย์แก่ผู้เคารพเลื่อมใสศรัทธาได้ประจักษ์ ทุกครั้งที่ถูกขโมยไป ก็จะได้กลับคืนมา เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนสืบไป

สินค้าที่ใกล้เคียงในร้านนี้

ดูสินค้าทั้งหมด

สินค้าที่คุณอาจจะสนใจ

พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต
พระบูชาหลวงพ่อนาค หน้าตัก 5 นิ้ว วัดโพธิ์ชัยศรี อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี สิริมงคลชีวิต
2,999.00.-