ทางไร้กุหลาบ

ความในใจจาก "ตู้หนังสือ" (โปรดอ่านก่อนซื้อ)   ที่บ้านของคุณมี "ตู้หนังสือ"บ้างไหมคะ? ที่บ้านเก่าของฉัน มี "ตู้หนังสือ"อยู่ใบหนึ่ง เป็นตู้หนังสือไม้สักของพ่อ ในนั้นมีหนังสือแห่งความทรงจำหลายเล่มที่ฉันเคยอ่านสมัยเด็กๆ หนังสือมีคุณค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่สำหรับฉัน สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าคือลายมือบูดๆเบี้ยวๆ ของตัวเราเอง ภาพวาดลายเส้นโย้เย้ที่เขียนอยู่ในหน้ากระดาษ (โชคดีที่เขียนเฉพาะหน้าแรกๆ) รวมทั้งสันปกที่เขียนชื่อพ่อ ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือ (เขียนชื่อเล่นเสียด้วยนะ) ยัง...ยังไม่พอ ในเล่ม น้องชายยังช่วยบรรเลงใช้ปากกาวาดรูปรถเรือยึกยืออยู่ 3-4 หน้า ถ้าหนังสือเล่มนี้ไปอยู่ในตู้หนังสือของคนอื่นอาจจะไร้ค่าก็ได้ แต่สำหรับฉันมันสมบัติล้ำค่าที่ทำให้ต้องอมยิ้มด้วยความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น และเหนือสิ่งอื่นใด ตู้หนังสือนี้เองที่เป็นจุดเริ่มแห่งความรักในการอ่าน ที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวฉัน ทำให้รู้จักและเห็นคุณค่าของหนังสือ รวมไปถึงการรู้จักโลกกว้างและเข้าใจถึงเรื่องราวอันหลากหลายและซับซ้อนของโลกใบนี้ กลับมาดู "ตู้หนังสือ"ของฉันในวันนี้ เพราะตู้หนังสือใบเดิมของพ่อแท้ๆที่ทำให้ตู้หนังสือของฉันอัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมายไปหมด ทั้งนวนิยาย (อันนี้อันดับหนึ่งเลย) ตามมาด้วยหนังสือวรรณกรรมเยาวชน หนังสือฮาว ทู หลังๆพออายุเยอะขึ้นก็เริ่มมีหนังสือปรัชญา หนังสือธรรมะ จนตอนนี้หนังสือล้นจากตู้หนังสือไปอยู่ตามซอกตามหลืบต่างๆ คนใกล้ชิดก็บ่นแล้วบ่นอีกว่า เล่มไหนไม่อ่านก็ขายๆไปบ้างเถอะ ฉันก็โต้ตอบกลับไปว่าจะขายได้อย่างไร เพราะหนังสือทุกเล่มที่ซื้อมาฉันซื้อมาด้วยความอยากอ่าน หนังสือบางเล่มช่วยให้พ้นจากความทุกข์มาได้ บางเล่มก็เปลี่ยนแปลงชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งความคิดในการขายหนังสือของฉันก็เปลี่ยนไป เมื่อวันหนึ่งฉันได้ไปหาเพื่อนคนหนึ่งซึ่งทำงานสำนักพิมพ์ ในงานสัปดาห์หนังสือ จับพลัดจับผลูได้ไปช่วยเขาขายหนังสือด้วย วันนั้นเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากกับการบอกเล่าเรื่องราวของหนังสือเล่มต่างๆให้ลูกค้าฟัง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ได้สัมผัสความสุขของนักอ่านคนอื่นๆที่แค่เห็นหนังสือก็ตาเป็นประกายด้วยความอยากอ่าน เป็นวันที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าอาชีพที่เหมาะกับตัวเองก็คือ "คนขายหนังสือ" แต่ก็น่าจะเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น แต่วันหนึ่งเมื่อได้มาเข้ามาสัมผัสโลกออนไลน์ ได้เห็นร้านหนังสือออนไลน์ที่น่าสนใจหลายร้าน ร้านหนังสือเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันลงมือทำฝันให้เ็ป็นจริง ด้วยเหตุนี้ ร้าน "ตู้หนังสือ"จึงเกิดขึ้น ด้วยความคิดว่าอยากเป็นเจ้าของร้านหนังสือเหลือเกิน แต่มันจะไปได้ดีแค่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ฉันจะทำร้านหนังสือออนไลน์ในแบบของฉันนี่แหละ สิ่งที่ฉันยึดเป็นหลักการในการทำร้านก็คือ 1. ฉันรู้ดีว่าบางทีสภาพหนังสือก็มีส่วนสำคัญสำหรับหนอนหนังสือบางคนเหมือนกัน(เช่นฉันเป็นต้น) ดังนั้น หนังสือของ "ตู้หนังสือ"ทุกเล่ม จะมีการบอกเล่าถึงสภาพหนังสือตามความเป็นจริง เพื่อประกอบการตัดสินใจ หนังสือของเรามีอยู่ 2 ประเภท คือ -หนังสือมือหนึ่ง -หนังสือมือสอง ทั้งสองประเภทจะบอกสภาพหนังสือเป็นเปอร์เซนต์ เช่น -สภาพ 100 % หมายถึง สภาพใหม่ สมบูรณ์ทั้งปกและกระดาษด้านใน ไม่มีรอยยับ -สภาพ 98 % หมายถึงสภาพใหม่ แต่อาจมีรอยยับเล็กน้อยที่ปกหน้าหรือปกหลัง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราเน้นมากและอาจจะถือว่าหลักในการขายหนังสือเลยก็คือ หนังสือที่คัดสรรมาขายทุกเล่ม เน้นว่าต้องอยู่ในสภาพดีทั้งหมด ถ้าเป็นหนังสือมือหนึ่ง สภาพจะอยู่ที่ 100 % ถ้าเป็นมือสอง ปกจะไม่ขาด กระดาษไม่หลุดจากการไสกาว หรือหน้าขาดหายไป หากลูกค้าไม่พอใจหรือพบข้อบกพร่องของหนังสือ ยินดีรับคืนค่ะ 2. ฉันรู้ดีว่ากว่าหนอนหนังสือจะตัดสินใจซื้อหนังสือสักเล่ม ต้องเลือกสรรอย่างดีเพื่อให้คุ้มค่าเงินที่จะเสียไป ดังนั้นฉันจะพยายามบอกเล่ารายละเอียดของหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อประกอบการพิจารณา นโยบายของร้านคือเราขายหนังสือตามสภาพ และทุกเล่มจะต้องอยู่ในสภาพที่อ่านได้ แม้จะอยู่ในสภาพเก่าก็ตาม และหากลูกค้าไม่พอใจยินดีให้เปลี่ยนหรือคืนค่ะ 3. ฉันรู้ดีว่าลูกค้าบางท่านอาจเห็นว่าการซื้อของทางอินเตอร์เน็ตเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะจะต้องโอนเงินมาก่อนจึงจะได้รับหนังสือ แต่ด้วยเกียรติของคนขายหนังสือ ซึ่งถึงแม้จะไม่เคยเป็นแม่ค้า แต่ฉันก็เคยเป็นลูกค้ามาก่อน จึงรู้ดีว่าความซื่อสัตย์นั้นสำคัญมากเพียงใด เพราะฉะนั้นจะไม่มีการโกง ไม่ส่งหนังสือให้ลูกค้า และลูกค้าสามารถติดต่อเราได้ทุกช่องทางทั้งโทรศัพท์มือถือ เฟสบุ๊คและอีเมลค่ะ   ขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขในโลกของการอ่านนะคะ