จำนวนสินค้า
สิ่งมงคลล้ำค่า หายากที่สุดครับ
****พระรูปหล่อ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ญสส. (ทรงไม้เท้าประทับยืน) วัดบวรนิเวศวิหาร ปี 2558 ขนาดสูง 16 นิ้ว เนื้อโลหะรมดำ บรรจุพระเกศาพระจีวร และมวลสารส่วนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ อยุ่ที่ด้านหลังตราพระนามย่อ ญสส. ด้านล่าง ข้างหน้า ส่วนด้านหลังสลักว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19 วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2558
****งามและหายากสุดๆ องค์นี้ No.44 จัดสร้างโดยโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19 จังหวัดกาญจนบุรี (โรงพยาบาลท่าม่วงเดิม)
*****พิธีเททองหล่อเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2558 โดยพระธรรมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เป็นประธานเททอง และพิธีมังคลาภิเษก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2558 โดยพระเกจิคณาจารย์วิปัสสนาจารย์ สายจังหวัดกาญจนบุรี จัดสร้างน้อย ตามจำนวนสั่งจองเท่านั้นครับ
****** งามและทรงคุณค่าสุดๆ ครับ รุ่นนี้
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก(สุวฑฺฒนมหาเถร) เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรีมีพระนามเดิมว่าเจริญคชวัตรประสูติเมื่อวันที่๓ตุลาคมพ.ศ. ๒๔๕๖ เวลาประมาณ๐๔.๐๐น. เศษ(นับอย่างปัจจุบันเป็นวันที่๔ตุลาคม) ตรงกับวันศุกร์ขึ้น๔ค่ำเดือน๑๑ปีฉลูณตำบลบ้านเหนืออำเภอเมืองจังหวัดกาญจนบุรีพระชนกชื่อนายน้อยคชวัตรพระชนนีชื่อนางกิมน้อยคชวัตร บรรพชนของเจ้าพระคุณสมเด็จฯมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจเพราะมาจาก๔ทิศทางกล่าวคือพระชนกมีเชื้อสายมาจากกรุงเก่าทางหนึ่งจากปักษ์ใต้ทางหนึ่งส่วนพระชนนีมีเชื้อสายมาจากญวนทางหนึ่งจากจีนทางหนึ่ง
นายน้อยคชวัตร เวลานั้นพี่ชายของหลวงพิพิธภักดีคือพระยาพิชัยสงครามเป็นเจ้าเมืองศรีสวัสดิ์กาญจนบุรีและมีอาชื่อพระยาประสิทธิสงคราม(ขำ) เป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรีต่อมาหลวงพิพิธภักดีลาออกจากราชการและได้พาภรรยาทั้ง๒คนมาตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี กล่าวกันว่าหลวงพิพิธภักดีนั้นเป็นคนดุเมื่อเป็นผู้ช่วยราชการอยู่ที่เมืองไชยาเคยเฆี่ยนนักโทษตายทั้งคาเป็นเหตุให้หลวงพิพิธภักดีเกิดสลดใจลาออกจากราชการแต่บางคนเล่าว่าเหตุที่ทำให้หลวงพิพิธภักดีต้องลาออกจากราชการนั้นก็เพราะเกิดความเรื่องที่ได้ธิดาพระปลัดเมืองตะกั่วทุ่งชื่อจีนมาเป็นภรรยานั่นเอง เมื่อพี่ชายคือพระพิชัยสงครามทราบว่าหลวงพิพิธภักดีอพยพครอบครัวมาอยู่ที่เมืองกาญจนบุรีก็ได้ชักชวนให้เข้ารับราชการอีกแต่หลวงพิพิธภักดีไม่สมัครใจและได้ทำนาเลี้ยงชีพต่อมา นายน้อยคชวัตรได้เรียนหนังสือตลอดจนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ๒พรรษาอยู่ในสำนักของพระครูสิงคบุรคณาจารย์(สุด) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม(วัดเหนือ) ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านพระครูสิงคบุรคณาจารย์นั้นเป็นบุตรคนเล็กของหลวงพิพิธภักดีกับนางจีนเป็นอาคนเล็กของนายน้อยเมื่อลาสิกขาแล้วนายน้อยได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เมืองกาญจนบุรีและได้แต่งงานกับนางกิมน้อยในเวลาต่อมา
นางกิมน้อยมาจากบรรพชนสายญวนและจีนบรรพชนสายญวนนั้นได้อพยพเข้ามาเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่๓เมื่อครั้งเจ้าพระยาบดินเดชา(สิงห์ต้นตระกูลสิงหเส ส่วนบรรพชนสายจีนนั้นได้โดยสารสำเภามาจากเมืองจีนและได้ไปตั้งถิ่นฐานทำการค้าอยู่ที่กาญจนบุรี นางกิมน้อยเป็นบุตรีนายทองคำ(สายญวน) กับนางเฮงเล็กแซ่ตัน(สายจีน) เกิดที่ตำบลบ้านเหนืออำเภอเมืองกาญจนบุรีเมื่อแต่งงานกับนายน้อยแล้วได้ใช้ชื่อว่าแดงแก้วแต่ต่อมาก็กลับไปใช้ชื่อเดิมคือกิมน้อยหรือน้อยตลอดมา นายน้อยคชวัตรเริ่มรับราชการในตำแหน่งเสมียนแล้วเลื่อนขึ้นเป็นผู้รั้งปลัดขวาแต่ต้องออกจากราชการเสียคราวหนึ่งเพราะป่วยหนักหลังจากหายป่วยแล้วจึงกลับเข้ารับราชการใหม่เป็นปลัดขวาอำเภอวังขนายกาญจนบุรีต่อมาได้ย้ายไปเป็นปลัดอำเภออัมพวาจังหวัดสมุทรสงครามเกิดป่วยเป็นโรคเนื้อร้ายงอกจึงกลับมารักษาตัวที่บ้านกาญจนบุรีและได้ถึงแก่กรรมเมื่อมีอายุเพียง๓๘ปีได้ทิ้งบุตรน้อยๆให้ภรรยาเลี้ยงดู๓คนคือ ๑. เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช(เจริญคชวัตร) ๒. นายจำเนียรคชวัตร ๓. นายสมุทรคชวัตร(ถึงแก่กรรมแล้ว) สำหรับเจ้าพระคุณสมเด็จฯนั้นป้าเฮงผู้เป็นที่สาวของนางกิมน้อยได้ขอมาเลี้ยงตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และทรงอยู่ในความเลี้ยงดูของป้าเฮงมาตลอดจนกระทั่งทรงบรรพชาเป็นสามเณรป้าเฮ้งได้เลี้ยงดูเจ้าพระคุณสมเด็จฯด้วยความถนุถนอมเอาใจเป็นอย่างยิ่งจนพากันเป็นห่วงว่าจะทำให้เสียเด็กเพราะเลี้ยงแบบตามใจเกินไป ชีวิตในปฐมวัยของเจ้าพระคุณสมเด็จฯนับว่าเป็นสุขและอบอุ่นเพราะมีป้าคอยดูแลเอาใจใส่อย่างถนุถนอมส่วนที่นับว่าเป็นทุกข์ของชีวิตในวัยนี้ก็คือความเจ็บป่วยออดแอดของร่างกายในเยาว์วัยเจ้าพระคุณสมเด็จฯทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอจนคราวหนึ่งทรงป่วยหนักถึงกับ ญาติๆพากันคิดว่าคงจะไม่รอดและบนว่าถ้าหายป่วยจะให้บวชแก้บนเรื่องนี้นับเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯทรงบรรพชาเป็นสามเณรในเวลาต่อมา พระนิสัยของเจ้าพระคุณสมเด็จฯเมื่อเยาว์วัยนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นบุพพนิมิตหรือเป็นสิ่งแสดงถึงวิถีชีวิตในอนาคตของพระองค์ได้อย่างหนึ่งกล่าวคือเมื่อทรงพระเยาว์พระนิสัยที่ทรงแสดงออกอยู่เสมอได้แก่การชอบเล่นเป็นพระหรือเล่นเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเล่นสร้างถ้ำก่อเจดีย์เล่นทอดผ้าป่าทอดกฐินเล่นทิ้งกระจาดแม้ของเล่นก็ชอบทำของเล่นที่เกี่ยวกับพระเช่นทำคัมภีร์เทศน์เล็กๆตาลปัตรเล็กๆ(คือพัดยศเล็กๆ) พระนิสัยที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของเจ้าพระคุณสมเด็จฯเมื่อเยาว์วัยคือทรงชอบเล่นเทียนเนื่องจากป้าต้องออกไปทำงานตั้งแต่ยังไม่สว่างเจ้าพระคุณสมเด็จฯจึงต้องพลอยตื่นแต่ดึกตามป้าด้วยแล้วไม่ยอมนอนต่อป้าจึงต้องหาของให้เล่นคือหาเทียนไว้ให้จุดเล่นเจ้าพระคุณสมเด็จฯก็จะจุดเทียนเล่นและนั่งดูเทียนเล่นอยู่คนเดียวจนสว่าง
พระนิสัยในท เมื่อพระชนมายุได้๘ขวบเจ้าพระคุณสมเด็จฯจึงเริ่มเข้าโรงเรียนคือโรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆารามซึ่งใช้ศาลาวัดเป็นโรงเรียนจนจบชั้นประถม๓เท่ากับจบชั้นประถมศึกษาในครั้งนั้นหากจะเรียนต่อชั้นมัธยมจะต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมวัดชัยชุมพลชนะสงคราม(วัดใต้) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดสุดท้ายทรงตัดสินพระทัยเรียนต่อชั้นประถม๔ซึ่งจะเปิดสอนต่อไปที่โรงเรียนวัดเทวสังฆารามนั้นแล้วก็จะเปิดชั้นประถม๕ต่อไปด้วย(เทียบเท่าม.๑และม.๒แต่ไม่มีเรียนภาษาอังกฤษ) ในระหว่างเป็นนักเรียนทรงสมัครเป็นอนุกาชาดและลูกเสือทรงสอบได้เป็นลูกเสือเอกทรงจบการศึกษาชั้นประถม๕เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๘ พระชนมายุ๑๒พรรษา หลังจากจบชั้นประถม๕แล้วทรงรู้สึกว่ามาถึงทางตันไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะไปเรียนที่ไหนเพราะขาดผู้นำครอบครัวที่จะเป็นผู้ช่วยคิดช่วยแนะนำตัดสินใจทรงเล่าว่าเมื่อเยาว์วัยทรงมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาดกลัวต่อคนแปลกหน้าและค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลยจึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น บรรพชาอุปสมบท
ในปีรุ่งขึ้นคือพ.ศ. ๒๔๖๙ น้าชาย๒คนจะบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเทวสังฆารามพระชนนีและป้าจึงชักชวนเจ้าพระคุณสมเด็จ
ก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรเจ้าพระคุณสมเด็จฯไม่เคยอยู่วัดมาก่อนเพียงแต่ไปเรียนหนังสือที่วัดจึงไม่ทรงคุ้นเคยกับพระรูปใดในวัดแม้หลวงพ่อวัดเหนือผู้เป็นพระอุปัชณาย์ของพระองค์ก็ไม่ทรงคุ้นเคยมาก่อนความรู้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องวัดก็ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกันนอกจากการไปวัดในงานเทศกาลการไปทำบุญที่วัดกับ
พรรษาแรกแห่งชีวิตพรหมจรรย์ณวัดเทวสังฆารามเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังไม่ได้เล่าเรียนอะไรมีแต่ท่องสามเณรสิกขา(คือข้อพึงป
|
|||||||||||||||